บทบาทอาจารย์ที่ปรึกษาในหลักสูตรแพทย์บัณฑิต
นพ พนม เกตุมาน พบ
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ในศตวรรษที่ 21 การเป็นครูแพทย์ควรต้องปรับเปลี่ยนบทบาทให้ทันสมัย เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของนักศึกษาแพทย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม
แนวคิด
- โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้านอย่างรวดเร็ว มีความรู้เพิ่มขึ้นมาก การสื่อสารรวดเร็ว สื่อสังคมกว้างขวาง
- แรงจูงใจและวิธีการเรียนรู้ของนักศึกษาปัจจุบัน แตกต่างจากอดีต
- การสอนแบบเดิมไม่ตอบสามารถตอบโจทย์ในปัจจุบัน
สามเหลี่ยมพฤติกรรมในการเรียนรู้ (Behavior Triangle in Learning)
การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการทำงานร่วมกันของร่างกาย สิ่งกระตุ้นกระทบประสารทสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกาย และทำให้เกิดความรู้สึก ความคิด เกิดประสบการณ์ที่สะสมและจดจำไว้ตั้งแต่เด็ก จนเกิดเป็นระบบของร่างกายและความคิดความรู้สึก ที่ทำงานร่วมกันทั้งสามด้าน หรือ สามฐาน
1 ฐานกาย (Psychomotor Domain) การเคลื่อนไหว การตอบสนองทางกายผ่านระบบประสาททั่วไป ประสาทอัตโนมัติ และกลไกการตอบสนองของร่างกายต่างๆ
2 ฐานความรู้สึก (Affective Domain) ความรู้สึก อารมณ์ เจตคติ ที่จะกำหนด แรงจูงใจหรือแรงบันดาลในพฤติกรรม
3 ฐานความคิด (Cognitive Domain) ความคิด ความเชื่อ
ความรู้สึกและความคิด จะมีผลอย่างมากต่อการเกิดพฤติกรรม หรือการตอบสนองทางร่างกาย เมื่อสะสมประสบการณ์ตั้งแต่เด็ก จะเกิดชุดความคิดความรู้สึกที่ซับซ้อน จนเกิดเป็นระบบความคิด (mindset) ที่ฝังแน่นจนกลายเป็นบุคลิกภาพ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น จะแสดงออกในรูปแบบซ้ำๆเดิม
การเรียนรู้เดิมที่มีอยู่จึงเป็นอุปสรรค ที่ปิดกั้นการเรียนรู้ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ถ้าต้องการเรียนรู้ใหม่จึงต้องยกเลิกการเรียนรู้เดิม (unlearn) และเรียนรู้ใหม่เข้าไปแทนที่ (relearn)
ในชีวิตคนตั้งแต่เด็ก พบว่ามีการเรียนรู้ที่ไม่ถูกต้องมากมาย การเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้จึงต้องมีตลอดเวลา เพื่อให้พบความจริงในชีวิต การเรียนรู้แบบที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลึกๆถึงระบบความคิดความเชื่อเดิม จึงต้องทำให้เกิดการกระทบจิตใจด้วยประสบการณ์ใหม่ เพื่อกระตุ้นให้รู้สึกอย่างแรง จนเกิดการคิดแบบลึกซึ้ง และเปลี่ยนแปลงจากภายใน จึงจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างถาวร
ในการเรียนรู้สมัยใหม่นั้น ความคิดที่พัฒนาแล้วจะสามารถเลือกการเรียนรู้ ที่เหมาะกับผู้เรียน Metacognition ผู้สอนจึงควรเข้าใจความแตกต่างหลากหลายของผู้เรียนและออกแบบให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้
แนวทางการเรียนรู้แบบจิตวิทยาเชิงบวก (positive psychology)
ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดี เมื่อมีความพร้อมทางจิตใจ อารมณ์ และเกิดสิ่งต่อไปนี้
- อารมณ์บวก (positive emotion) คือความรู้สึกด้านดี ที่ทำให้อยากทำกิจกรรมนั้นได้ต่อเนื่องยาวนาน จนไม่อยากหยุด ได้แก่ ความสนุก ท้าทาย ตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น เพลิดเพลิน ฯลฯ เกิดจากกิจกรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม ได้ทำด้วยตัวเอง เกิดการสัมผัสด้วยประสาทต่างๆ ทางตา หู จมูก ผิวหนัง ผ่านการเคลื่อนไหว สังเกตอารมณ์และความรู้สึกตัวเองไปกับการกระทำ แล้วถอดบทเรียน สรุป ความคิดรวบยอด สร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง เป็นแนวทางการเรียนรู้แบบ constructivism
- มีส่วนร่วม (engagement) คือความมีส่วนร่วม ผู้เรียนจะรู้สึกเป็นเจ้าของ อยากทำ ทำแล้วรู้สึกดี
- ความสัมพันธ์ (relationship) คือ ความเป็นส่วนร่วมเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย กล้าแสดงออก ไม่กลัวผิด
- มีความหมาย (meaning) ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งเรียน การนำไปใช้ประโยชน์ เชื่อมโยงกับชีวิตจริง ทำให้ผู้เรียนรู้สึกดีกับการเรียนรู้นั้น
- ความสำเร็จ (achievement) ผู้เรียนเกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จ
ข้อ 2-5 ทำให้เกิด ข้อ 1 อย่างมาก
บทบาทครูแพทย์
ครูแพทย์ช่วยสร้างแพทย์ โดยการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม 3 ด้าน
- ความรู้ (Cognitive Domain) ความรู้พื้นฐานทางสังคมและมนุษย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ และการแพทย์
- ทักษะ (Psychomotor Domain) แยกออกเป็น
- ทักษะทางการแพทย์ (Professional Skills) การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องปฏิบัติการ การทำคลอด ทำแผล ฉีดยาฯลฯ
- ทักษะของความเป็นมนุษย์ (Life Skills) การเข้าใจตนเอง พัฒนาจิตใจตนเอง การเข้าสังคม communication collaboration creativity critical thinking contemplative thinking
- ทัศนคติ (Affective Domain) การเป็นแพทย์ที่มีหัวใจมนุษย์ การเข้าใจผู้ป่วย และผู้อื่น ความเห็นอกเห็นใจอยากช่วยเหลือผู้อื่น การเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต
Coach and Mentor
เป้าหมายของ coach และ mentor คือ การช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม เพื่อเป็นแพทย์ที่ดี ข้อแตกต่างของ coach และ mentor คือ
|
Coach |
Mentor |
Area |
Task, with specific agenda |
Life, with unspecific agenda |
Focus |
Performance |
Individual |
Improvement |
Job |
Personal growth |
Technic |
Facilitating |
Role model |
Return |
Material value |
Spiritual value |
Relationship |
Job allocating |
Chemistry matching |
Duration |
Medical years |
Lifelong |
Outcome |
Good doctor |
Excellent doctor |
การเป็น coach และ mentor
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เริ่มต้นตั้งแต่แรกที่รู้จักกัน ควรมีข้อมูลพื้นฐาน ประวัติส่วนตัว ครอบครัว
- รู้จักเป็นรายบุคคล มีกิจกรรมที่ช่วยให้รู้จักรายละเอียดส่วนบุคคลเพิ่มเติม
- ทัศนคติดี ยอมรับในความเป็นบุคคลที่แตกต่าง เข้าใจที่มาของนิสัย พฤติกรรม
- การสื่อสาร มีการสื่อสารทางบวก ที่ช่วยให้เกิดความคุ้นเคย เป็นกันเอง ปลอดภัย
- การ feedback มีการชม และตักเตือน ด้วยความห่วงใย โดยใช้เทคนิคการให้ข้อมูลป้อนกลับทางบวก
- การติดตามต่อเนื่อง มีการติดตามพฤติกรรม ผ่านทางกิจกรรม หรือ ผลงาน เช่น การเขียน reflection ท้ายกิจกรรมสำคัญ
ระบบที่ช่วยส่งเสริม coaching และ mentoring
คณะแพทย์ศาสตร์สามารถส่งเสริม ได้ดังนี้
- มีระบบ coaching and mentoring ชัดเจน ในการศึกษาทุกระดับ และการทำงาน มีการสอนงานแก่ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นงานทุกระดับ อาจารย์แพทย์ทุกคนมีบทบาทเป็น coach และ mentor ได้รับการยอมรับและบรรจุอยู่ในภาระงาน
- มีการเรียนรู้เรื่อง Coaching and Mentoring แก่บุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่ นักศึกษา อาจารย์ ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ และให้ถือเป็นนโยบายหลักในการทำงาน มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติ และตัวชี้วัด
- มีการกำกับดูแลละติดตามต่อเนื่อง บันทึกในระบบที่ตรวจสอบได้ เช่น แฟ้มสะสมผลงาน (portfolio)
หลักการ Coaching and Mentoring
- เข้าใจทฤษฎีพฤติกรรม การเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (behavior theory) เข้าใจการเรียนรู้ของวัยผู้ใหญ่ (transformative learning) ความแตกต่างการเรียนรู้ ประสบการณ์เดิมของนักศึกษา เป็นรายบุคคล
- ช่วยกันค้นหาความแตกต่างระหว่างเป้าหมาย และสถานการณ์ปัจจุบันช่วยกำหนดเป้าหมายรายบุคคลโดยสร้างแรงจูงใจจากภายใน สิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง กำหนดเป้าหมาย วางแผน โดยครูเป็นผู้ช่วย
- ใช้ความสัมพันธ์และการสื่อสาร เพื่อสร้างแรงจูงใจ การเรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเอง
- ติดตาม ให้กำลังใจ สร้างโอกาสการเรียนรู้ใหม่ตามความต้องการ
เทคนิคที่ใช้
- ความสัมพันธ์ที่ดี เป็นแบบสองทาง ที่มีการกำหนดวัตถุประสงค์ และ ภาระงานชัดเจน
- การเป็นต้นแบบ Role modeling
- การสื่อสาร การฟัง จับใจความ(ความรู้สึก ความคิด ทัศนคติ นิสัย ค่านิยม) การทวนใจความ การใช้คำถาม การเข้าใจ ใส่ใจ มีอารมณ์ร่วม ทัศนคติที่ดี อยากช่วยเหลือ การสร้างแรงจูงใจ motivational interviewing, feedback, I-You message การสำรวจตนเอง เพื่อให้ค้นหาตัวเอง อยากรู้เกี่ยวกับตนเอง การให้กำลังใจ positive and negative reinforcement, praising
องค์ประกอบการสื่อสาร
- ผู้ส่งข้อมูล (coach or mentor)
- ผู้รับข้อมูล (coachee or mentee)
- ข้อมูลที่ต้องการสื่อสาร (Message)
- สิ่งแวดล้อมของการสื่อสาร (Environmental Context)
- เทคนิคการสื่อสาร( Techniques of Communication) เช่น การสื่อสารทางเดียว หรือสองทาง
GROW Model for Coaching
เทคนิคที่แพร่หลายในการโค้ช คือการสำรวจลงไปใน เรื่องต่อไปนี้ตามลำดับ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในด้วยตัวเอง
- Goal เป้าหมายคืออะไร เป้าหมายระยะสั้น ระยะยาว เกิดจากอะไร มีอะไรเป็นแรงจูงใจ แรงบันดาลใจ ที่ผ่านมาทำได้สำเร็จอะไรบ้าง
- Current Reality สถานการณ์จริงในปัจจุบันเป็นอย่างไร มีอะไรทำได้ ทำไม่ได้
- Options (or Obstacles) มีทางเลือกอะไรบ้างในขณะนี้ มีปัญหาอุปสรรคอะไร ทำไม่ได้เพราะอะไร
- Will (or Way Forward) คิดว่าจะเลือกทางใด เพราะอะไร ข้อดี ข้อด้วย จะเผชิญด้วยวิธีใด ต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลืออะไรอีก ถ้าไม่ได้จะทำอย่างไร
โค้ช จะเป็นผู้ตั้งคำถามดีๆ ทำให้เกิดการคิด ไตร่ตรอง ตระหนัก และตัดสินใจด้วยตัวเอง ใช้แนวทาง nondirective counseling
โค้ชอาจใช้ GROW Model นี้ในกลุ่มขนาดเล็ก ตั้งคำถามชวนคิด ระดมสมอง แลกเปลี่ยน ถกเถียง หาข้อสรุปและแนวทาง ทางเลือก เพื่อให้นำไปใช้ในชีวิต
SOAP Technique in Coaching
S-Subjective สิ่งที่ coachee คิด รู้สึก ทำ ประเมิน
O-Objective สิ่งที่ coach คิด รู้สึก ทำ ประเมิน คาดหวัง ต้องการ
A-Assessment ผลในปัจจุบัน
P-Plan การวางแผนต่อไป
ความแตกต่างระหว่าง Coaching Mentoring และ Counseling
|
Coaching |
Mentoring |
Counseling |
เป้าหมาย |
พัฒนางาน |
พัฒนาคน |
แก้ปัญหาคน |
เวลา |
ปัจจุบัน |
อนาคต |
อดีต |
เน้น |
วิเคราะห์งาน |
วิเคราะห์ตน |
วิเคราะห์ทางออก |
เทคนิคการสื่อสารที่ดีสำหรับโค้ช
เทคนิคการสื่อสารเชิงบวก (positive communication) กับนักศึกษา มีดังนี้
1.ทัศนคติที่ดี (Good Attitudes)
ทัศนคติของผู้สื่อสารที่ดี ทำให้เกิดความรู้สึกไว้วางใจ ร่วมมือ เปิดเผย ยอมรับได้ง่าย คือท่าทีด้านบวกยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข (unconditional positive regard) มองในแง่ดีเป็นกลาง (neutral) มีความเข้าใจ(understanding) อยากช่วยเหลือ (empathy) เห็นใจ (sympathy) เริ่มต้นจากการมองด้านดี ค้นหา และหยิบยกมาเริ่มต้นในการสนทนา หรือการสอน ความรู้สึกดีนี้จะถ่ายทอดเป็นท่าที สายตา และท่าทางที่รับรู้ได้ และเกิดการยอมรับ เปิดช่องการสื่อสารกันสองทาง (two-way communication) ในการเรียนการสอน หรือ การฝึกอบรม ครูที่สร้างทัศนคติที่ดีได้เร็ว จะเป็นที่ยอมรับได้เร็วและมากกว่า
2.ทักทาย (Greeting)
ผู้สื่อสารสร้างประโยคทักทายที่อ่อนโยน นุ่มนวล เป็นกันเอง อาจใช่เทคนิค (small talks) คือประโยคทักทาย ถามเรื่องง่ายๆ แสดงความเป็นกันเอง โดยไม่คุกคาม พยายามเรียกชื่อมากกว่าใช้สรรพนาม เช่น
“สวัสดีครับ ………(เรียกชื่อ)”
“………(ชื่อ)เมื่อกี้ทำอะไรอยู่ครับ”
“ทานข้าวแล้วหรือยัง………(ชื่อ)”
ถ้าครูรู้ข้อมูลพื้นฐานบ้าง เช่น ชอบอะไร ทำอะไร เพื่อนเป็นใคร โดยเฉพาะด้านดีๆ จะหาทางเริ่มต้นคุยได้ นุ่มนวล และสังเกตว่าพยายามเอ่ยชื่อเพื่อแสดงความรู้จัก สร้างความคุ้นเคยเสมอ หลีกเลี่ยงคำว่า “เธอ” หรือสรรพนามอื่น
ในกรณีที่ยังไม่รู้จักกัน ครูควรแนะนำตัวเอง วัตถุประสงค์ของการคุยกัน เวลาที่จะคุยกัน เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจ บรรยากาศผ่อนคลาย และเป็นกันเอง
3.เริ่มต้นจากจุดดี (Beginning with Positive Aspects)
ไม่ว่าเรื่องที่จะคุยกับนักศึกษาเรื่องบวกหรือ ลบ ให้เริ่มต้นจากการแสดงความยินดี รับรู้ ข้อดีของนักศึกษาก่อนเสมอ ข้อดีนั้นสังเกตจากตัวนักศึกษาเอง
“ครูดีใจที่ได้คุยกับ…..(ชื่อ) (พยายามเรียกชื่อ ดีกว่าใช้คำ “เธอ”)
“ครูยินดีกับผลการสอบที่ผ่านมา”
“การประกวดที่ผ่านมา เธอทำได้ดีมากนะ”
“ขอบคุณที่มาตามนัด (ที่นัดมาพบครู)”
4.การสำรวจลงไปในปัญหา (Exploration)
ครูพยายามสำรวจความรู้ ความเข้าใจ ของนักศึกษา โดยใช้เทคนิคการถาม
“ทราบหรือไม่ว่าครูอยากคุยด้วยเรื่องอะไร”
“ช่วยเล่าให้ครูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เป็นอย่างไร ถึงมาพบครูที่นี่”
เรื่องที่นักศึกษาไม่อยากเล่าในช่วงแรก ควรข้ามไปก่อน แต่ทิ้งท้ายไว้ว่ามีความสำคัญที่น่าจะกลับมาคุยกันอีกในโอกาสต่อไป
“เรื่องนี้น่าสนใจมาก สำคัญทีเดียว ยังไม่อยากเล่าในตอนนี้ ไม่เป็นไร เอาไว้เมื่อพร้อมที่จะเล่าแล้วค่อยเล่าก็ได้ ครูจะขอคุยเรื่องอื่นก่อน แล้วจะขอย้อนกลับมาคุยเรื่องนี้ทีหลัง ดีไหม”
ในการสำรวจลงลึกในประเด็นปัญหา ควรสังเกตท่าที ความร่วมมือ การเปิดเผยข้อมูล ว่านักศึกษามีความไว้วางใจมากน้อยเพียงไร มีเรื่องใดที่ยังกังวล เช่น ไม่แน่ใจว่าครูจะไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง หรือเปิดเผยให้คนอื่นรู้หรือไม่ ซึ่งอาจมีผลเสียตามมา ครูควรให้ความมั่นใจเรื่องนี้ โดยเน้นการรักษาความลับ (confidentiality) ดังนี้
“เรื่องที่คุยกันนี้ ครูคงไม่นำไปบอกพ่อแม่ หรือคนอื่นๆฟัง”
“ถ้ามีเรื่องที่ครูจำเป็นต้องบอกพ่อแม่ ครูจะคุยกับเธอก่อน”
- การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)
การสื่อสารที่ดีควรเป็นไปแบบสองทางเสมอ คือการฟัง และการพูด แต่ในระยะแรกควรพยายามกระตุ้นให้นักศึกษาพูดและแสดงออกมากๆ เพื่อลดความเครียดและการป้องกันตนเอง สร้างทัศนคติให้รู้สึกว่า “ครูสนใจ และฟังนักเรียน”
การฟังอย่างตั้งใจ (active listening) แสดงออกโดยมีความสนใจ จดจำรายละเอียด พยายามเข้าใจความคิดความรู้สึก สอบถามเมื่อสงสัย ให้นักศึกษาขยายความ และสอบถามความคิด ความรู้สึกเป็นระยะๆ
ในขณะฟังอย่าเพิ่งคิดว่าจะพูดอะไรต่อไป ให้สนใจจดจำประโยคที่นักศึกษาพูด และทวนความ นักศึกษาจะรู้สึกประทับใจที่ครูสนใจ จดจำ ให้เกียรตินักเรียน และจะร่วมมือเปิดเผยมากขึ้น
ในระยะเริ่มต้น ควรฟังข้อมูลพื้นฐาน เรื่องส่วนตัว ในอดีต เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานของนักศึกษาก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยสำรวจด้วยคำถาม ลงลึกไปในเรื่องที่ละเอียดอ่อนขึ้น
6.หลีกเลี่ยงการใช้คำถามที่ขึ้นต้นว่า “ทำไม”
การใช้คำถามที่ขึ้นต้นว่า “ทำไม…..” มักทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบ เช่น
“ทำไมเธอเข้าเรียนสาย” จะสื่อสารความหมาย 2 แบบ คือ
- เธอแย่มาก
- ถ้ามีเหตุผลดีๆ ก็มาสายได้
ผลที่ตามมาคือ นักศึกษาจะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเองมากขึ้น เพื่อพยายามยืนยันว่า ความคิดและการกระทำของเขาถูกต้อง เป็นการกระตุ้นส่งเสริมให้เถียงแบบข้างๆคูๆ ในที่สุดครูก็จะโมโหนักศึกษาเสียเอง ดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ทำไม” ถ้าต้องการทราบเหตุผลจริงๆ ของพฤติกรรมนั้น ให้เปลี่ยนเป็นคำถามต่อไปนี้
“ครูอยากรู้จริงๆว่าอะไรทำให้เธอทำอย่างนั้น”
“พอจะบอกครูได้ไหมว่า เธอคิดอย่างไรก่อนที่จะทำอย่างนั้น”
“เกิดอะไรขึ้น ทำให้เธอมาสายในวันนี้”
“เหตุการณ์เป็นอย่างไร ลองเล่าให้ครูเข้าใจหน่อย”
7.ใช้คำพูดที่ขึ้นต้นด้วย “ฉัน…” ( I-Message) แทนที่ “เธอ…” (You-Message)
ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “เธอ” หรือ “คุณ” นั้นเรียกว่า You-message มักแฝงความรู้สึกด้านลบ คุกคาม และตำหนิ การสื่อสารที่ดีควรเปลี่ยนเป็นประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “ฉัน” หรือ “ผม” ที่เรียกว่า I-message ที่สร้างความรู้สึกนุ่มนวลกว่า สังเกตการเปรียบเทียบประโยคต่อไปนี้
“เธอนี่แย่มากที่มาสาย” (You-message) ให้แทนด้วย “ครูไม่ชอบการที่นักเรียนมาสาย”(I-message)
“ทำไมเธอมาสาย” (You-message) ให้แทนด้วย “ครูอยากให้นักเรียนมาเช้า” (I-message)
ทำไมพวกเธอไม่ตั้งใจฟัง” ให้แทนด้วย “ครูไม่ชอบเวลาพูดแล้วไม่มีคนตั้งใจฟัง”
“เธอไม่ฟังครูเลย” ให้แทนด้วย “ครูอยากให้นักเรียนหยุดฟัง เวลาครูพูด”
“เธอทำอย่างนั้นไม่ดี” ให้แทนด้วย “ครูเสียใจที่เธอทำเช่นนั้น”
ลองฝึกใช้คำพูดสร้างความรู้สึกดีๆ ที่ขึ้นต้นด้วยฉัน หรือ ครู ต่อไปนี้บ่อยๆ
“ครูอยากให้เธอ….”
“ครูจะดีใจมากที่…”
“ครูคิดว่า….”
“ครูกังวลว่า…”
8.กระตุ้นให้บอกความคิด ความรู้สึกความต้องการ และพฤติกรรม (Sharing of Behavior Triangle)
ครูช่วยกระตุ้นให้นักศึกษามีทักษะในการสื่อสารมากขึ้น กล้าพูด กล้าบอกสิ่งที่ตัวเองคิด รู้สึก และต้องการอย่างสุภาพ ให้เข้าใจกัน ทั้งต่อครูและเพื่อนๆด้วยกันเอง
ครูช่วยกระตุ้นเรื่องนี้ได้ ด้วยการฝึกรายบุคคล
“ปีนี้ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้อย่างไร”
“อยากได้อะไรบ้างจากการเรียนวิชานี้”
“เธอคิดอย่างไร เรื่องนี้..”
“เธอรู้สึกอย่างไร ลองเล่าให้ครูฟัง…”
“เธอต้องการให้เป็นอย่างไร…”
ครูควรรับฟังนักศึกษามากๆ ให้เขารู้สึกว่า การพูดบอกเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ เป็นที่ยอมรับ และสามารถบอกกับเพื่อนๆได้ด้วย
ในระยะท้ายๆ เมื่อความสัมพันธ์ดี สังเกตท่าทีว่าเริ่มยอมรับยอมฟังบ้างแล้ว ครูอาจสื่อสารสิ่งที่ครูคิด รู้สึก และต้องการอย่างนุ่มนวล สงบ สั้นๆ เป็นแนวทางให้เขาปฏิบัติได้
9.สะท้อนความรู้สึก (Reflection of Feeling)
การสะท้อนความรู้สึก ช่วยสร้างความรู้สึกการประคับประคองทางจิตใจ (emotional support) แสดงถึงความเข้าใจ สนใจนักศึกษา ถ้าไม่แน่ใจว่านักศึกษารู้สึกอย่างไร ให้ถามความรู้สึก เช่น
“เธอคงเสียใจ ที่โดนลงโทษ” (สะท้อนความรู้สึก)
“หนูรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน” (ถามความรู้สึก)
“เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อเพื่อนทำอย่างนั้น” (ถามความรู้สึก)
“เธอคงโกรธที่ถูกเพื่อนแกล้ง” (สะท้อนความรู้สึก)
“เรื่องที่คุยกันนี้คงจะกระทบความรู้สึกของเธอมาก ครูจะคุยกันต่อได้ไหม” (สะท้อนความรู้สึก)
“เธออึดอัดใจที่ครูถามถึงเรื่องนี้”
“เธอกังวลใจจนนอนไม่หลับ”
การสะท้อนความรู้สึกจะช่วยให้นักศึกษาเกิดความรู้สึกว่าครูเข้าใจความรู้สึก เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
การสะท้อนความรู้สึก ช่วยในการตอบคำถามหรือตอบสนองบางสถานการณ์ได้ เช่น
นักศึกษา(พูดอย่างโกรธๆว่า) “ครูไม่เข้าใจผมหรอก”
ครู (ใช้เทคนิคการสะท้อนความรู้สึก ) “เธอคงรู้สึกหมดหวัง ไม่มีใครเข้าใจปัญหานี้”
10.ถามความคิดและสะท้อนความคิด (Reflection of Thinking)
การสอบถามความคิด ช่วยให้เกิดความเข้าใจความคิดนักศึกษา และแสดงความสนใจและให้เกียรติความคิดเขา เช่น
“เมื่อเธอโกรธ เธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป” (ถามความคิด)
“ผมอยากกลับไปชกหน้ามัน”
“เธอโกรธมากจนคิดว่าน่าจะกลับไปชกหน้าเขา” (สะท้อนความรู้สึกและความคิด)
การถามและสะท้อนความรู้สึกและความคิด มีข้อดีที่ทำให้นักศึกษารู้สึกว่า เราพยายามเข้าใจความคิด และความรู้สึกของเขา ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี เป็นพวกเดียวกัน และจะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น เมื่อความสัมพันธ์ดี การชักจูงให้เปลี่ยนพฤติกรรมจะง่ายขึ้น
11.การกระตุ้นให้เล่าเรื่อง (facilitation)
การกระตุ้นให้เล่าเรื่องราว ทำได้โดยใช้ชุดคำถามที่จูงใจ ตามปัญหา หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ครูทราบเบื้องต้นมาว่า…”
ครูอยากฟังจากเธอเอง ลองเล่าให้ครูฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
การกระตุ้นจะง่ายขึ้นถ้าครูแสดงท่าทียอมรับ (unconditional positive regard) ร่วมด้วย เช่น
“เรื่องที่พูดยาก หรือยังบอกไม่ได้ ขอให้บอกครูด้วย”
“ใครๆที่อยู่ในสภาพเดียวกับเธอ คงทำใจยอมรับได้ลำบากเหมือนกัน”
“บางทีมันก็ยากที่จะเล่าเรื่องข้างส่วนตัว พร้อมเมื่อไรค่อยเล่าก็ได้”
“เรื่องใดที่ยังไม่พร้อมจะคุย ขอให้บอก”
การสำรวจลงลึก (exploration)
“มีอะไรที่ทำให้รู้สึกหนักใจ กังวลใจ หงุดหงิดใจ”
“ถ้าเป็นไปได้ อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร”
การสำรวจตนเอง (self perception)
“คิดว่าตัวเอง เป็นคนอย่างไร”
“ข้อดีของตัวเอง”
“อยากให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
การวางแผน (problem solving and planning)
“คิดอย่างไรกับเรื่องราวที่ผ่านมา
“คิดทางแก้ไขไว้อย่างไรบ้าง”
“ปัญหาอื่นๆละ มีอะไรหนักใจหรือไม่”
ในตอนท้าย ลองสำรวจในเรื่องอื่นๆ ในตอนท้าย เช่น เรื่องความสัมพันธ์ของพ่อแม่ ความสัมพันธ์กับน้อง หรือญาติคนอื่นๆ
“วางแผนไว้อย่างไรบ้าง ระยะสั้น ระยะยาว”
12.การใช้ภาษากาย (Nonverbal Communication)
การสัมผัส สีหน้า แววตา ท่าทาง ให้เกิดความเป็นกันเอง อยากเข้าใจ อยากช่วยเหลือ ไม่ตัดสินความผิด หรือแสดงการไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมหรือสิ่งที่วัยรุ่นเปิดเผย
- แสดงท่าทีเป็นกลาง เข้าใจพฤติกรรม (Nonjudgmental Attitude)
“ความสนใจเรื่องเพศในวัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เธอสนใจเรื่องนี้บ้างไหม”
“เพื่อนบางคนอาจลองใช้ยาเสพติด เคยลองบ้างไหม”
14.ชมบนหลังคา ด่าที่ใต้ถุน
เมื่อนักศึกษามีพฤติกรรมดี ครูควรมีเทคนิคในการชม ให้เกิดความภาคภูมิใจตนเอง ควรชมให้ผู้อื่นทราบด้วย หรือร่วมชื่นชมด้วย และเมื่อชมแล้วอาจเสริมให้รู้สึกต่อไปว่า เขาคงจะพอใจที่ตัวเองเป็นคนดีด้วย ต่อไปนักศึกษาจะชื่นชมตัวเองเป็น ไม่ต้องรอให้คนอื่นเห็นความดีของตน หรือรอให้คนอื่นชมเสมอไป ดังตัวอย่างนี้
“ครูดีใจมากที่เธอช่วยเหลือเพื่อน เธอคงรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ทำเช่นนั้น ใช่ไหม”
“พวกเราภูมิใจที่เธอได้รางวัลครั้งนี้ ช่วยกันตบเมือให้หน่อย เธอคงภูมิใจในตัวเองเหมือนกันใช่ไหมจ๊ะ”
ในทางตรงกันข้าม เมื่อนักศึกษามีพฤติกรรมไม่ดี ครูควรมีเทคนิคในการตักเตือน เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่เวลาเตือน อย่าให้เกิดความรู้สึกอับอาย ให้นักเรียนค่อยๆคิด และยอมรับด้วยตัวเอง อย่าให้เสียหน้า การเตือนเรื่องที่น่าอับอายควรเตือนเป็นการส่วนตัว ก่อนจะเตือน ควรหาข้อดีของเขาบางอย่าง ชมตรงจุดนั้นก่อน แล้วค่อยเตือนตรงพฤติกรรมนั้น เช่น
“ ครูรู้ว่าเธอเป็นคนฉลาด แต่ครูไม่เห็นด้วยกับการที่เธอเอาของเพื่อนไปโดยไม่บอก” (ใช้ I-message ร่วมด้วย)
“ครูเห็นแล้วว่าเธอมีความตั้งใจมาก แต่งานนี้เป็นงานกลุ่ม ที่ครูอยากให้ช่วยกันทำทุกคนนะจ๊ะ”
15.ตำหนิที่พฤติกรรม มากกว่า ตัวบุคคล
การตำหนิต้องระวังการต่อต้านไม่ยอมรับ ซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติตามกลไกทางจิตใจที่ปกป้องตนเอง เมื่อเริ่มต้นไม่ยอมรับ จะไม่สนใจฟัง ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับสิ่งที่ครูบอก(แม้ว่าเรื่องที่พูดต่อมาเป็นเรื่องจริง)
วิธีการที่ทำให้นักศึกษายอมรับ และไม่เสียความรู้สึกด้านดีของตนเอง สามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนการตำหนิที่ตัวนักศึกษา เป็นการตำหนิที่พฤติกรรมนั้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“เธอนี่แย่มาก ขี้เกียจจังเลยถึงมาสาย” เปลี่ยนเป็น “ การมาโรงเรียนสาย เป็นสิ่งที่ไม่ดี”
“เธอนี่โง่มากนะ ที่ทำเช่นนั้น” เปลี่ยนเป็น “ การทำเช่นนั้น ไม่ฉลาดเลย”
“เธอนี่เป็นคนเอาเปรียบเพื่อนนะ” เปลี่ยนเป็น “ครูไม่ชอบการไม่ช่วยเหลืองานกลุ่ม งานนี้ทุกคนต้องช่วยกัน “
ไม่ควรใช้คำพูดทำนองว่า เป็นนิสัยไม่ดี หรือสันดานไม่ดี เพราะจะทำให้นักศึกษาต่อต้าน การตำหนิไปถึงพ่อแม่ เช่น “อย่างนี้พ่อแม่ไม่เคยสอน ใช่ไหม” สร้างความรู้สึกต่อต้านอย่างแรง เป็นอันตรายต่อการสื่อสารและการสร้างความสัมพันธ์
16.การกระตุ้นให้คิดด้วยตนเอง (Facilitating to Problem Solving)
ในการฝึกให้นักศึกษาแก้ปัญหานั้น ควรฝึกให้นักศึกษาคิดเองก่อนเสมอ เมื่อนักศึกษาคิดไม่ออกหรือ ไม่รอบคอบ ครูอาจช่วยชี้แนะในตอนท้าย เช่น
“เธอคิดว่าปัญหาอยู่ที่ไหน” (ให้คิดสรุปหาสาเหตุของปัญหา)
“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี” (ให้คิดหาทางออก)
“ทางออกแบบอื่นละ มีวิธีการอื่นหรือไม่” (ให้หาทางเลือกอื่นๆ ความเป็นไปได้อื่นๆ)
“ทำแบบนี้ แล้วคาดว่าผลจะเป็นอย่างไร” (ให้คิดถึงผลที่ตามมา)
“เป็นไปได้ไหม ถ้าจะทำแบบนี้…(แนะนำ)…เธอคิดอย่างไรบ้าง”
- การประคับประคองอารมณ์ (Emotional Support)
ครูช่วยให้จิตใจ อารมณ์ของนักศึกษาจะดีขึ้น เมื่อเกิด :
- ความหวังด้านบวก (hope) เช่น
“การพูดคุยกันในวันนี้น่าจะช่วยให้ครูเข้าใจมากขึ้น”
- การได้ระบายความรู้สึก (ventilation) เช่น
“การร้องไห้ ได้ระบายความทุกข์ใจ ก็ช่วยให้ใจสบายขึ้น”
“ครูอยากให้เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจ อาจทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ดีขึ้น”
- การชมเชย (positive reinforcing) เช่น
“ครูคิดว่าเป็นการดีมาก ที่…อยากจะเข้าใจตัวเอง …….อยากแก้ไขเปลี่ยนแปลง”
“ดีนะที่…..มีความสนใจในเรื่องการเรียน”
- ความหวังในการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
“จากข้อมูลที่เล่ามาทั้งหมด ครูคิดว่า อาการต่างๆเกิดจากอารมณ์ซึมเศร้า อาการนี้พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆ แต่สามารถรักษาได้”
“ครูคิดว่า การตรวจทดสอบบางอย่างอาจจะช่วยให้เข้าใจสาเหตุของปัญหามากขึ้น จะแนะนำว่าน่าจะ….”
- การสรุปและยุติการสนทนา (Termination)
การยุติการสื่อสารในตอนท้าย ควรสรุปสิ่งที่ได้คุยกัน และวางแผนต่อไปว่าจะทำอะไร ตอบคำถามที่นักศึกษาอาจจะมี กำหนดการนัดหมายสนทนาครั้งต่อไป การยุติการสนทนาได้ดีจะช่วยให้วัยรุ่นร่วมมือมาติดตามการให้คำปรึกษา และให้ร่วมมือในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือ ร่วมมือในการพบครั้งต่อไป
“คุยกันมานานแล้ว ไม่ทราบว่า …อยากจะถามอะไรครูบ้าง”
“ครูดีใจที่…ให้ความร่วมมือดีมาก ครูอยากจะพบเพื่อคุยเรื่องนี้อีก”
“สรุปแล้ววันนี้เราได้คุยอะไรกันบ้าง” (ให้นักศึกษาสรุป)
“ครูเข้าใจมากที่เดียว วันนี้สรุปว่า…..” (ครูเป็นผู้สรุป)
สรุป ครูในโรงเรียนแพทย์ควรมีทักษะCoaching and Mentoring ใช้การสื่อสารเป็นหัวใจของการสร้างความสัมพันธ์ การเรียนรู้จากกัน การทำงานร่วมกัน เพื่อถ่ายทอดความรู้ ทัศนคติและค่านิยม เปลี่ยนพฤติกรรม ให้นักศึกษาพัฒนาตนเองเป็นแพทย์ที่ดีและมีความสุข
เอกสารอ้างอิง
- พนม เกตุมาน. สุขใจกับลูกวัยรุ่น. บริษัทแปลน พับลิชชิ่ง จำกัด, กรุงเทพฯ: 2535:
- Angold A. Diagnostic interviews with parents and children. In: Rutter M, Taylor E, eds. Child and Adolescent Psychiatry.4th ed. Bath : Blackwell Science, 2002:32-51.
- Geldard D. Basic personal counselling: a training manual for counsellors. 3rd ed. Sydney : Prentice Hall, 1998:39-168.
- MacKinnon RA, Yudofsky SC. In: The psychiatric evaluation in clinical practice. Philadelphia : J.B.Lippincott Company,1986:35-84.
- Graham Alexander, Alan Fine, and Sir John Whitmore 1980s for business coaches https://www.mindtools.com/pages/article/newLDR_89.htm
9 สิงหาคม 2561